ข่าววันนี้

ผอ. ขอโทษอย่างจริงใจ ยอมรับผิด ให้เด็กเชิญธงกลางสายฝน เปิดเทอมวันแรก อยากให้ทุกอย่างเรียบร้อย แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด กรณีคลิปเหตุการณ์ นักเรียนเชิญธงชาติขณะฝนตกหนัก จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.ชุมพร ล่าสุด ผอ.โรงเรียน โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นความว่า จากคลิปเหตุการณ์ที่ดิฉันได้ให้นักเรียน 3 คน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เชิญธงขณะฝนตกที่กลายเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ วันนี้ ดิฉันได้เข้าพบผู้ปกครองของนักเรียนทั้งสาม และกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก ดิฉันอยากให้ทุกอย่างออกมาเรียบร้อย จึงตัดสินใจให้นักเรียนออกไปเชิญธง แม้จะมีภารโรงกางร่มให้นักเรียน 3 คัน และนักเรียนก็อยู่ในสายตา ผอ.ตลอด แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากๆ ดิฉันเสียใจและขอน้อมรับผิดทุกประการ สุดท้ายนี้ ต้องขอโทษทางเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และขอโทษคณะกรรมการสถานศึกษาทุกท่านอีกครั้งที่ทำให้โรงเรียนเสียชื่อเสียง ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ

จากกรณี น.ส.สุจิตรา กุลจันทร์ หรือ เจ๊แก้ว อายุ 43 ปี เจ้าของแผงทุเรียนในตลาดโพธิ์หวาย ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี หายตัวไปหลังเสร็จงานจากแผงทุเรียน และกำลังจะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.40 น.ของวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 19 พ.ค.2568 ความคืบหน้า ที่แผงทุเรียนของเจ๊แก้ว โดยมี นายพงศ์พันธ์ หรือ แอน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี สามีของ น.ส.สุจิตรา และคนงานกำลังลงทุเรียนจากรถกระบะเข้าที่ร้าน และขายทุเรียนกันปกติ เนื่องจากสั่งทุเรียนมาไว้ก่อนหน้านี้ สามี เล่าเหตุการณ์ก่อน เจ๊แก้ว เจ้าของแผงทุเรียน หายตัวปริศนา พร้อมทองคำหนัก 20 บาท พบมือถือ 2 เครื่องแล้ว เผยวงจรปิดจับภาพได้ ภาวนาให้ปลอดภัย นายแอน กล่าวว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ …

จากกรณี ครูสาวโพสต์คลิป ซึ่งกลายเป็นไวรัล โดยในคลิปเป็นเหตุการณ์ช่วงเข้าแถวเคารพธงชาติในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรายงานว่าเป็นโรงเรียนในภาคใต้ โดยขณะนั้นมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็น ผอ. กลับเดินมาเรียกนักเรียนไปเชิญธงที่สนาม โดยไม่สนว่าฝนจะกำลังตกอย่างหนัก โดยเจ้าของคลิปนี้ได้ระบุแคปชั่นว่า อยากขอความช่วยเหลือค่ะ เป็นแค่ครูไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลย เด็กคือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แจ้งทางเขตต้นสังกัดไปเรื่องก็เงียบ ไม่รู้ต้องทำยังไง หมดหนทางจริงๆ ค่ะ ทั้งนี้ ครูเจ้าของคลิปก็ได้มีการบรรยายเหตุการณ์ในคลิปด้วยว่า “ฝนตกก็ต้องเชิญธง กลัวเขตตำหนิ ห่วงธงแต่ไม่ห่วงเด็ก ความเป็นครูไม่หวัง แต่ความเห็นอกเห็นใจควรมีนะคะ อายุไม่ใช่น้อย ๆ ขณะที่ครูทำอะไรนึกถึงเด็กก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ร่มคันเล็ก ๆ 1 คัน/เด็ก 2 คน ถามจริงคิดแล้วเหรอคะ ยังไงเด็กก็เปียก และก็เปียกไปทั้งตัว ในฐานะครูใจสลายมากกับเหตุการณ์เมื่อวาน ทำเต็มที่แต่ปกป้องเด็กเราไม่ได้เลย เพราะเป็นแค่ครู เราไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก หนักหนามาก ๆ สิ่งที่ทำกับครูพอทน แต่กับนักเรียนรับไม่ได้ค่ะ แจ้งทางต้นสังกัดไปเรื่องก็เงียบ เราควรปล่อยให้อนาคตของชาติอยู่กับผู้บริหารแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ ถ้าไม่หมดหนทางคงไม่ทำแบบนี้ อยากให้เด็ก ๆ ได้รับความช่วยเหลือ เพราะเขาคือบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำยังไงได้บ้างคะ ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ” ขณะที่ชาวเน็ตที่ได้ชมคลิปดังกล่าว ต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็น วิจารณ์พฤติกรรมของ …

จากกรณีโลกโซเชียลมีการแชร์คลิป ผอ. โรงเรียนแห่งหนึ่ง สั่งให้นักเรียนไปเชิญธงชาติขึ้นเสาธง ในช่วงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และฟ้าร้องจนน่ากลัว โดยในคลิปจะเห็นว่าเด็กนักเรียนชายเป็นคนชักธงชาติขึ้นยอดเสา และมีเด็กนักเรียนหญิง 2 คน ยืนกางร่มให้คนละคัน ขณะชักธงชาติขึ้นยอดเสาพร้อมเพลงชาติ มีนักการภารโรงซึ่งเห็นว่าเด็กเปียกฝนจึงนำร่มไปยืนกางให้อีกคัน ซึ่งหลังจากที่คลิปดังกล่าวถูกแชร์ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น วันที่ 19 พ.ค. 68 ความคืบหน้าล่าสุด ผอ.โรงเรียนบ้านหินกบ จ.ชุมพร ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขณะเดินทางไปพบผู้ปกครองของเด็กทั้ง 3 คน พร้อมข้อความว่า “จากคลิปเหตุการณ์ที่ดิฉันได้ให้นักเรียนชั้นประถม 3 คน เชิญธงขณะฝนตกที่กลายเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ วันนี้ ดิฉันได้เข้าพบผู้ปกครองของนักเรียนทั้งสาม และกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก ดิฉันอยากให้ทุกอย่างออกมาเรียบร้อย จึงตัดสินใจให้นักเรียนออกไปเชิญธง แม้จะมีภารโรงกางร่มให้นักเรียน 3 คันและนักเรียนก็อยู่ในสายตา ผอ.ตลอด แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากๆ ดิฉันเสียใจและขอน้อมรับผิดทุกประการ สุดท้ายนี้ ต้องขอโทษทางเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และขอโทษคณะกรรมการสถานศึกษาทุกท่านอีกครั้งที่ทำให้โรงเรียนเสียชื่อเสียง ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ” โดยมีการปิดไม่ให้ใครเข้าไปแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์

จากกรณี เจ๊แก้ว แม่ค้าขายทุเรียนที่ตลาดโพหวาย ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากร้านจะกลับบ้าน และได้หายตัวไป พร้อมทองคำน้ำหนัก 20 บาท และเงินสด 1 แสนบาท ในช่วงเวลา 20.00 น. วันที่ 17 พ.ค. 68 จากนั้นสามีได้เข้าแจ้งความวันที่ 18 พ.ค. ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 19 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่แผงทุเรียนของเจ๊แก้ว โดยมีนายพงศ์พันธ์ แซ่ตั้น หรือ แอน อายุ 44 ปี สามีผู้สูญหาย และคนงานกำลังลงทุเรียนจากรถกระบะเข้าที่ร้าน และขายทุเรียนกันปกติ เนื่องจากสั่งทุเรียนมาไว้ก่อนหน้านี้ นายแอน สามีเจ๊แก้ว กล่าวว่า เมื่อวานช่วงเย็นได้พบโทรศัพท์ของเจ๊แก้วแล้วทั้ง 2 เครื่อง ถูกตั้งไว้ในลิ้นชักโต๊ะบัญชีภายในร้าน ที่ได้เข้าแจ้งความ เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะเจ๊แก้วสวมสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท, สร้อยข้อมือทองคำน้ำหนัก 10 บาท, แหวนทองคำน้ำหนัก 2 สลึงไปด้วย เกรงว่าจะเป็นการชิงทรัพย์ …

ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ออกหมายจับ 4 ราย ได้เเก่ นาย น. นาย ธ. นาย ภ. เเละ นาย ณ. ส่วน นาย ม. อยู่ระหว่างการขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานคดีร่วมกันฆ่า ซึ่งขณะนี้สามารถจับกุมตัวนายธนเดชได้เเล้ว อยู่ระหว่างการสอบปากคำ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ นายวราพงษ์ หรือ ดีเจเตเต้ อายุ 33 ปี หายตัวปริศนาเมื่อกลางดึกวันที่ 14 พ.ค.2568 หลังจากที่รับงานเอนเตอร์เทนที่ผับเเห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี มีข้อมูลว่า ดีเจเตเต้หายไปขณะขับรถไปหาหญิงสาวรายหนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย ตำรวจแกะรอยจากหลักฐานทุกชิ้น ทั้งรถเเละสัญญาณโทรศัพท์จุดสุดท้าย จนกระทั่งพบเบาะแสการหายตัวไปของดีเจเตเต้ เเละสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีรอยถูกกัดที่แขน ต่อมาชาวบ้านพบศพของดีเจเตเต้อยู่กลางป่าลึก ในพื้นที่บ้านทุ่งนานางหรอก ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี กว่าจะถึงจุดพบศพต้องใช้รถโฟร์วิวลุยป่าเข้าไป 20 นาที เดินเท้าต่ออีกประมาณ 5 นาที พบศพ ดีเตเต้อยู่ในสภาพนอนตะแคงมีเชือกเปลสีเขียวมัดมือทั้งสองข้างไพร่หลังเอาไว้ ชันสูตรพลิกศพ พบรอยคล้ายกระสุนปืนที่บริเวณกระหม่อมจำนวนสองนัด เจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งสถาบันนิติเวชทำการชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง น.ส.เปรมยุดา แฟนดีเจเตเต้ เล่าว่า …

วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเตรียมจัดการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ซึ่งมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาทบทวนการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ยังคงเหลืออยู่จากโครงการก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพยุงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ให้ต่ำกว่า 2% ในปีนี้ ก่อนเข้าสู่การประชุมใหญ่ ช่วงเช้าของวันเดียวกันจะมีการประชุม คณะอนุกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี รมว.คลัง เป็นประธาน เพื่อพิจารณาโครงการต่างๆที่อาจนำมาแทนที่หรือปรับทิศทางของดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 และ 4 ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แผนที่กำลังจะเสนอพิจารณานั้น ครอบคลุมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระดับฐานราก และการเยียวยาภาคประชาชนและธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยโครงการต้องสามารถเบิกจ่ายได้ทัน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 จุดเน้นคือการออกแบบโครงการให้เห็นผลเร็ว ใช้งบได้จริง และไม่สร้างภาระการคลังระยะยาว ถือเป็นความพยายามของรัฐบาลในการสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจมากกว่าแค่กระจายเงิน รายงานข่าวแจ้งว่า การพิจารณาทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ โครงการวอลเล็ตเคยถูกวางไว้เป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นการบริโภคระดับประเทศ แต่กลับเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย ทั้งเรื่องความโปร่งใส ความคุ้มค่า และข้อจำกัดด้านวินัยการคลัง หากโครงการถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนรูปแบบ ประชาชนระดับฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและผู้มีสิทธิ์ในโครงการ อาจไม่ได้รับเงินสดเพื่อใช้จ่ายโดยตรงเหมือนที่ผ่านมา …

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีข่าวรัฐบาลจะทบทวนโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ให้กลุ่มอายุ 16 -20 ปีที่เวลานี้เกิดความกังวลว่าจะได้รับหรือไม่ว่า ใช่ เพราะมีความเห็นเข้ามา และมีทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจและโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดทั่วโลกทำให้มีปัจจัยใหม่ จึงต้องฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม หากได้ข้อสรุปสุดท้ายเมื่อไหร่จะรีบบอก ผู้สื่อข่าวภามว่าเรื่องนี้มีการฟันธงไปแล้วว่าอาจจะยกเลิก ทำให้กลุ่มที่จะได้ใจเสียไปแล้ว นายกฯ กล่าวว่า เรากำลังหาวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลมากที่สุด เรื่องนี้ยังไม่ได้ยกเลิกทั้งสิ้น รอฟังความเห็นให้ครบและพยายามผลักดันทุกแง่มุม เมื่อถามย้ำว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการแจกไปใช้แบบโครงการคนละครึ่ง เหมือนสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เรามีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายเรื่องที่ต้องช่วยกันหลายด้าน เพราะตอนนี้เศรษฐกิจกระทบทั่วโลก เราต้องใช้ทั้งเม็ดเงินและนโยบายที่จะกระตุ้นทั้งหมด ไม่ใช่แค่ให้ช่วงอายุใดอายุหนึ่ง ซึ่งแผนเดิมเราจะแบ่งเป็นช่วงอายุ แต่ตอนนี้ต้องดูทั้งหมด ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปแล้วโครงการนี้ยังมีอยู่ใช่หรือไม่ แต่แค่ปรับวิธีการจ่ายเงิน นายกฯ กล่าวว่า ขอรอฟังความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง เรายังไม่ได้ยกเลิก เมื่อถามว่าหากยกเลิกโครงการนี้จะกระทบกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว

อาลัย ดร.อนุวัฒน์ พลทิพย์ วัย 41 ปี อาจารย์ม.นครพนม ประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักแหกโค้ง เสียชีวิตในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ประวัติเคยสร้างผลงานวิชาการให้กับมหาวิทยาลัยมากมาย เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 พฤษภาคม ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ อุตระศรี รองสารวัตรสอบสวน สภ.ท่าอุเทน จ.นครพนม รับแจ้งจากชาวบ้านมีอุบัติเหตุรถยนต์ เสียหลักแหกโค้ง บ้านนาเพียง ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จึงประสานแพทย์เวรโรงพยาบาลอำเภอท่าอุเทน รวมถึง กู้ชีพ อบต.ไชยบุรี และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ ชันสูตรเก็บหลักฐาน โดยในที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะ โตโยต้า 4 ประตู สีดำ ทะเบียน ผน 2974 ขอนแก่น ในสภาพพลิกคว่ำ ชนเสาไฟฟ้าข้ามเลนจากถนนฝั่งขาเข้า ตัวเมืองนครพนม พลิกคว่ำไปอีกเลน สภาพพังเสียหายทั้งคัน ส่วนคนขับกระเด็นจากรถตกพื้นถนน เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทราบชื่อภายหลังคือ ดร.อนุวัฒน์ ผลทิพย์ อาจารย์สาขาวิชาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบชันสูตร …

จากกรณีผู้ปกครองชายคนหนึ่ง ก่อเหตุกระโดดถีบเด็กอายุ 6 ขวบ จนหน้าหงาย เหตุเกิดภายในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง จ.ตรัง หลังผู้ปกครองคนดังกล่าวไม่พอใจที่เด็กเล่นกับลูกของตนเอง แล้วทำให้ลูกเป็นแผลถลอก ล่าสุด นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เน้นย้ำมาตรการดูแลความปลอดภัยนักเรียนและครู กรณีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นที่ จ.ตรัง ที่มีผู้ปกครองรายหนึ่งใช้กำลังทำร้ายนักเรียนนั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น หลังเกิดเรื่อง ศธ. ได้กำชับกับทุกโรงเรียนมาโดยตลอด ให้ดูแลความปลอดภัยเด็กนักเรียนทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา นอกจากนี้กรณีของ จ.ตรัง ได้มีการกำชับไปอีกครั้งในเรื่องระบบการรับ-ส่ง โดยจะไม่ให้ผู้ปกครองเข้ามาในโรงเรียน และสามารถมารับส่งเด็กได้บริเวณหน้าประตูโรงเรียนเท่านั้น เพื่อให้เด็กอยู่ในที่ปลอดภัยและจำกัดความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดได้